วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ต่อไป เรามาดูการทำ'♥' Blueberry Cream Cake - เค้กนมสดบลูเบอร์รี่ '♥'

'♥' Blueberry Cream Cake - เค้กนมสดบลูเบอร์รี่ '♥'

สปันจ์นมสดนิ่มเบากับครีมนุ่มลิ้น ตัดรสหวานอ่อนๆด้วยบลูเบอร์รี่ฟิลลิ่งเปรี้ยวๆ เข้ากันที่สุดเลย เป็นขนมที่ทานแล้วรู้สึกมีความสุข เลยอยากแบ่งความสุขนี้ให้กับเพื่อนบล็อกทุกคนค่ะ ตัวเค้กเป็นเค้กสปันจ์ดัดแปลงมาจากสูตรของเว็บญี่ปุ่ น รสชาติเลยไม่หวานจัด ทานแล้วไม่เลี่ยน แถมไม่อ้วนเท่าไหร่ด้วยเพราะไขมันน้อย ในรูปเป็นสูตรเล็ก ใช้ไข่ 3 ฟอง เนยอีกแค่ 2 ช้อนโต๊ะเอง ถ้าใครไดเอ็ทไม่ต้องแต่งหน้าด้วยครีมก็ได้.. แค่ราดด้วยบลูเบอร์รี่ฟิลลิ่งเฉยๆก็อร่อยแล้วค่ะ

เวลาไปซื้อขนมตามเบเกอรี่ที่เมืองไทย เวลาเห็นขนมอะไรที่มีคำว่าสดๆทั้งหลาย เช่น นมสด, กะทิสด, ครีมสด, หรือมะพร้าวอ่อน, สังขยาอะไรเทือกนี้ อดไม่ได้ที่จะลองชิมทุกที มีความรู้สึกว่ามันดึงดูดน่ากิน เค้กที่ทำวันนี้ก็เหมือนกันค่ะ จริงๆก็คือเค้กสปันจ์บลูเบอร์รี่่ แต่ตามร้านชอบเรียกกันว่าเค้กนมสดบลูเบอร์รี่ หรือเค้กบลูเบอร์รี่นมสด ฟังแล้วน่าทานขึ้นเป็นกอง พอดีไปเจอสูตรสปันจ์เค้กจากเว็บ cookpad ของญี่ปุ่น เห็นคนทำการบ้านส่งกันเกือบร้อยคน เดาว่าคงอร่อย เลยลองทำดู ออกมาไม่ผิดหวังเลยค่ะ เค้กนุ่มนิ่ม เบา ไขมันต่ำก็จริง แต่อร่อยมากๆๆๆ

น่ากินป่าว...




สูตรสปันจ์วานิลลา หรือสปันจ์นมสดนะคะ




Baking Notes:

- วิธีดูว่าส่วนผสมข้นจนเรียกว่าอยู่ในขั้น Ribbon stage... นอกจากจะใช้วิธีลากหัวตีดูความข้นของส่วนผสม ยังมีอีกวิธีคือปักไม้จิ้มฟันลงไปในส่วนผสมไข่ที่ตีข ้นๆแล้ว ถ้าไม้จิ้มฟันตั้งอยู่ได้ไม่ล้มก็ใช้ได้ วิธีนี้จำมาจากเว็บญี่ปุ่นอีกที แต่จำชื่อเว็บไม่ได้แล้วค่ะ
- การเทนมและเนยลงในส่วนผสม ต้องเทเป็นสายช้าๆแต่สม่ำเสมอ ถ้าเติมเร็วเกินไป ส่วนผสมเนยและไข่ไม่เข้ากัน จะทำให้ก้นเค้กเป็นไต และเคยดูในรายการทำอาหารที่เมืองไทย จำไม่ได้ว่ารายการอะไร แต่เชฟบอกว่านมและเนยร้อนๆจะช่วยไม่ให้ไข่ยุบค่ะ เคยเซฟสูตร Hot milk sponge cake ไว้ หลายๆสูตรก็ใส่นมเดือดๆเลยด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าถ้าเผลอเติมคราวละเยอะไป ไข่อาจจะสุกทำให้เป็นลิ่ม ก็เลยใส่แบบอุ่นจัดๆและใส่ทีละน้อยแทนค่ะ
- การเติมกลิ่นวานิลลา ให้เติมหลังเติมนมและเนยร้อนๆเสร็จแล้ว เพราะความร้อนทำให้แอลกอฮอล์ในวานิลลาระเหย เค้กจะไม่หอมเท่าที่ควร
- การอบเค้ก..เตาที่บ้านแบบไข่ 4 ฟอง อบไป 30 นาที ส่วนแบบไข่ 3 ฟองอบ 32 นาทีค่ะ
- เค้กที่ราดบลูเบอร์รี่กระป๋องแล้ว ถ้าแช่ตู้เย็นไม่นานพอ เวลาตัดบลูเบอร์รี่จะเยิ้มๆอย่างในภาพ เพราะไม่มีเวลาแช่นานๆ แสงจะหมดซะก่อนค่ะ ถ้าแช่ไว้คืนนึงขึ้นไป เวลาตัดจะเยิ้มพอดีๆกำลังสวยเลย และก็ไม่ต้องกลัวเค้กแช่เย็นแล้วจะแข็งแบบเค้กเนยด้ว ยค่ะ

วิธีทำตัวเค้ก วันนี้ทำแบบไม่ใส่เอสพีมาให้ดู เพราะว่าวิธีทำค่อนข้างยากกว่า แต่ไม่ใช่วิธีทำสปันจ์เค้กแบบปกตินะคะ แต่จะเป็นลูกผสมระหว่างวิธีทำเค้กชิฟฟ่อน+เค้กสปันจ์ ค่ะ คือแยกตีไข่ขาวไข่แดง อบออกมาเค้กได้ปริมาตรดี ไม่เป็นไต แต่เนื้อเค้กมันจะออกมาหยาบกว่าแบบใส่เอสพีนิดหน่อย สงสัยจะตีไข่ขาวตั้งยอดเกินไป เหมือนเวลาทำเค้กชิฟฟ่อน.. ถ้าตีไข่ขาวตั้งยอดไปเค้กจะหยาบอ่ะค่ะ แต่รวมๆแล้วก็นิ่มอยู่ดี ต่อไปถ้าทำเค้กสปันจ์ไม่ใส่เอสพีจะใช้วิธีนี้ตลอดเลย

รูปนะคะ...



วิธีทำแบบไม่ใส่เอสพี:1. ตีไข่ขาวให้ตั้งยอดอ่อนๆ เติมน้ำตาลทรายป่นทีละน้อย อย่าเติมพรวดเดียวจะทำให้ไข่ขาวฝ่อ เกือบลืม... ไข่ที่ใช้ควรเป็นไข่สดด้วยค่ะ แยกตอนเย็นๆ แต่เอามาตีตอนอยู่ที่อุณหภูมิห้องแล้ว
2. พอตั้งยอดแล้วเติมไข่แดงลงไปทีละฟอง ตีความเร็วสูงให้ข้นขาวอยู่ตัว เทสต์ ribbon stage ด้วยวิธีลากหัวตีเหมือนเดิม หรือจะใช้ไม้จิ้มฟันปักดูก็ได้ ตีประมาณ 8 นาทีค่ะ ใกล้ๆได้ที่แล้วเติมวานิลลา ตีต่อให้เข้ากัน ที่เติมก่อนเนยเพราะกลัวว่าถ้าเติมหลังเนยนมแล้ว เวลาผสมให้เข้ากันไข่มันจะยุบ แต่ใครจะใส่หลังสุดก็ได้ค่ะ
3. เติมแป้งทีละส่วน ผสมความเร็วต่ำให้หมดผงแป้ง
4. อุ่นเนยและนมให้ร้อน เทช้าๆให้เป็นสายเล็กๆสม่ำเสมอลงไปในส่วนผสม ตีความเร็วต่ำหรือคนตะล่อมด้วยพายยางให้เข้ากันดี อย่าให้เห็นเนยแยกตัวอยู่ เพราะอบออกมาเค้กจะเป็นไต ที่ทำ batter จะเหลวกว่าแบบใส่เอสพี แต่อบออกมาก็ฟูเต็มพิมพ์เหมือนกันค่ะ
5. เทใส่พิมพ์รองกระดาษไข อบตามปกติเหมือนแบบใส่เอสพี ทดสอบด้วยการใช้นิ้วแตะทดสอบการสปริงตัวของเค้กเหมือ นกันค่ะ

รูปวิธีลากหัวดีเช็คริบบ้อนสเตจ ตรงปีไม่ได้พิมพ์ผิดนะคะ แต่อันนี้ทำไว้ตั้งแต่ Strawberry n' cream cake ตอนวันเกิดแฟน 2 ปีก่อนนู่นแน่ะ ขี้เกียจแก้ แต่ดูไปดูมาเหมือนจะต้องตีให้ข้นกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวคราวหน้าถ่ายรูปมาซ่อม อันนี้เป็นแบบไม่ใส่เอสพีนะคะ




เค้กที่ได้ (แบบไม่ใส่เอสพี) คราวนี้หน้าไม่ย่นเท่าไหร่ ปกติอบออกมาหน้าเหี่ยวเชียว เห็นแล้วพาลเอาหน้าคนทำเหี่ยวไปด้วย




ส่วนวิธีทำตัวเค้กแบบใส่เอสพี ไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่เลยไม่ได้ถ่ายภาพประกอบ เพราะทำตอนเกือบเที่ยงคืน แต่ส่วนผสมตีออกมาจะข้นเนียนกว่าแบบไม่ใส่เอสพี ข้นประมาณนี้


สูตร Sweetened Whipped Cream


วิธีทำวิปครีมฟรอสติ้ง


รูปตอนประกอบร่าง



ลืมบีบครีมตรงรอบเค้กตรงขอบล่างๆ ไม่เป็นไร.. วันนี้ถือคติ less is more แล้วกัน




ตัดหลังแช่ตู้เย็นไว้ตอนออกไปหาหมอ น่าจะแช่ไปแค่ 3 ชั่วโมงเองมั้งคะ ผ่าแล้วเลยเยิ้มเลย ทำให้แยมติดอยู่ตามเค้กด้วย




ว่าจะซูมให้ดูเนื้อเค้ก ทำไมมันออกมาเบลอๆหว่า ตัวเค้กนิ่มมากกกกก ถึงแม้จะแช่เย็นไว้ เพราะมีส่วนผสมของเนยน้อยมากค่ะ จัดเป็นเค้กไขมันต่ำ ทานเปล่าๆไม่ต้องใส่ครีมก็อร่อย หอมมันจนไม่อยากเชื่อว่าใส่เนยแค่ 2 ช้อนโต๊ะ อร่อยกว่าสูตรญี่ปุ่นอีกสูตรที่เคยทำอีก




ทานเป็นของว่างยามบ่าย นุ่ม เบาทั้งเค้กทั้งครีม ตรงที่แยมเยอะๆยิ่งอร่อย ทานแล้วเหมือนลอยอยู่บนปุยเมฆ (ขนาดนั้นเลย )



ลืมอีกแล้ว... ตอนบีบครีม จะใช้หัวบีบรูปดาวบีบทำลายก้นหอยไขว้ไปมาก็ได้ หรือถ้าจะทำแบบในรูปก็ใช้หัวบีบกลมจัมโบ้ ขนาดเดียวกับที่ใช้ทำอิตาเลี่ยนเลดี้ฟิงเกอร์ส (
Savoiardi) น่ะค่ะ ลองคลิกเข้าไปดูแล้วกัน วิธีบีบก็ง่ายๆ แค่บีบเป็นรูปหยดน้ำซ้อนๆกันไปเรื่อยๆ ให้ล้ำๆออกไปนอกตัวเค้กหน่อย จากนั้นปาดรอบข้างเค้กด้วยไพ่ตัดทำเป็นลายตามต้องการ ค่ะ ไอเดียมาจากตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น ทำออกมาไม่เหมือนของเค้าหรอกค่ะ จำไม่ได้ว่าไม่เหมือนยังไง พอดีไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เดี๋ยวต้องไปลองเซิร์ชดูใหม่

เห็นรึเปล่าเอ่ย.. เนื้อเค้กนิ่มเบายังกับสายไหมเลย แต่วันนี้กล้องไม่เป็นใจ.. มัวๆเบลอๆซะส่วนมาก ชัดสุดได้แค่นี้อ่ะค่ะ ลองทำกันดูนะคะ ตั้งแต่ทำเค้กมา เค้กนี้หมดไวสุด ปกติจะทานกันวันละชิ้นสองชิ้นกับแฟน กว่าจะหมดก็ใช้เวลาหลายวัน แต่เค้กนมสดบลูเบอรี่นี้ 2 วันก็หมดแล้ว ต้องทำสูตรนี้อีกแน่ๆ แล้วจะถ่ายรูปมาให้ดูใหม่น๊า


ชิ้นนี้เสิร์ฟให้ทุกคนที่แวะมาเยี่ยมค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น